ผู้หญิงเกิน 50% เสี่ยงภาวะมีบุตรยาก แล้วเป็นช็อกโกแลตซีสต์มีลูกได้ไหม?
คุณกำลังประสบปัญหาท้องยากอยู่หรือเปล่า? พบผู้หญิงกว่า 50% ต้องเผชิญภาวะมีบุตรยาก และช็อกโกแลตซีสต์คือหนึ่งในสาเหตุสำคัญ บทความนี้จะเจาะลึกว่าช็อกโกแลตซีสต์มีลูกได้ไหม พร้อมหาคำตอบและวางแผนการดูแลสุขภาพไปกับวิริยะประกันสุขภาพ
"มีลูกเมื่อพร้อม" เป็นประโยคติดแฮชแท็กที่อยู่ในความของผู้หญิงยุคนี้ แต่เมื่อถึงเวลาแล้วกลับพบว่า "ท้องยาก" พยายามมาเกือบปีแต่ยังไม่สำเร็จ และเมื่อไปปรึกษาแพทย์ก็พบว่าเป็น "ช็อกโกแลตซีสต์" และคำถามแรกที่ผุดขึ้นมาคือแล้วแบบนี้จะมีลูกได้ไหม?
ข้อมูลระบุว่า ภาวะมีบุตรยากพบในผู้หญิงสูงถึง 50% ของคู่รักที่พยายามมีบุตรในวัยเจริญพันธุ์ ขณะที่พบในผู้ชาย 30% และอีก 20-30% ไม่สามารถระบุสาเหตุได้ และพบว่าหนึ่งในสาเหตุสำคัญก็คือ "ช็อกโกแลตซีสต์" นั่นเอง บทความนี้จะพาคุณเจาะลึกถึงสาเหตุของการมีบุตรยาก และตอบคำถามยอดฮิตว่า ช็อกโกแลตซีสต์มีลูกได้หรือไม่ รวมถึงเรื่องน่ารู้อื่นๆ ที่คุณไม่ควรมองข้าม
สาเหตุของการมีลูกยากเกิดจากอะไร
ภาวะมีบุตรยากอาจเกิดได้จากหลายปัจจัย ทั้งจากฝ่ายหญิง ฝ่ายชาย หรือทั้งสองฝ่าย โดยสาเหตุหลัก ๆ มีดังนี้
- รังไข่ ไข่ไม่ตก หากรังไข่ทำงานผิดปกติไม่มีคุณภาพ ส่งผลให้มีบุตรยากขึ้น
- อสุจิ หากอสุจิมีจำนวนน้อย ไม่แข็งแรง ก็ไม่สามารถปฏิสนธิกับเซลล์ไข่ได้
- มดลูก หากมดลูกพบความผิดปกติ อาจจะมีเนื้องอกมดลูก ก็ส่งผลให้มีบุตรยากเช่นกัน
ช็อกโกแลตซีสต์มีลูกได้ไหม
สำหรับคำถามที่ว่า "ช็อกโกแลตซีสต์มีลูกได้ไหม?" คำตอบคือ "มีโอกาสตั้งครรภ์ได้" แต่ก็มักจะมาพร้อมกับปัญหาภาวะมีบุตรยาก เนื่องจากช็อกโกแลตซีสต์ส่งผลกระทบต่อการทำงานของรังไข่โดยตรง ส่งผลให้รังไข่ทำงานได้ไม่เต็มที่ และเข้ามาขัดขวางการทำงานของอสุจิที่จะเข้ามาปฏิสนธิได้ยากขึ้น
ช็อกโกแลตซีสต์ คือถุงน้ำที่เกิดจากเยื่อบุโพรงมดลูกที่เจริญผิดที่ ส่งผลให้การทำงานของรังไข่ผิดปกติ และเกิดปัญหาด้านการตั้งครรภ์ โดยสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท ดังนี้
1. เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ - เกิดที่รังไข่
ในกรณีที่ช็อกโกแลตซีสต์เกิดในรังไข่โดยตรง หากยังมีขนาดที่เล็กก็สามารถเจริญเติบโตได้ แต่คุณภาพของไข่จะลดลง และหากขนาดเพิ่มใหญ่ขึ้นก็ยิ่งทำให้โอกาสเป็นไปได้ยากยิ่งขึ้น
2. เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ - เกิดที่นอกรังไข่
บางรายอาจมีพังผืดไปยึดอวัยวะอื่น เช่น มดลูก ลำไส้ หรือกระเพาะปัสสาวะ อาจจะทำให้มีพังผืดเกิดขึ้นที่ปีกมดลูกจนทำให้ท่อรังไข่อุดตัน ทำให้มดลูกมีขนาดที่โตขึ้น ซึ่งการที่ท่อรังไข่อุดตันนั้นเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ไข่กับอสุจิไม่สามารถผสมกันได้ ทำให้มีอาการปวดประจำเดือน และทำให้การตั้งครรภ์เป็นไปได้ยากขึ้น
3 คำถามยอดฮิตเกี่ยวกับช็อกโกแลตซีสต์
1. ช็อกโกแลตซีสต์อันตรายไหม
ไม่ควรละเลยหากคุณมีอาการเหล่านี้ ปวดท้องประจำเดือน, ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ หรือขณะมีเพศสัมพันธ์แล้วมีอาการเจ็บ เพราะหากปล่อยทิ้งไว้อาจส่งผลต่อการตกไข่ทำให้มีลูกยาก ส่งผลต่ออวัยวะภายใน หรือเกิดภาวะซีสต์แตกได้
ข้อแนะนำ : ช็อกโกแลตซีสต์ เป็นโรคที่มีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้สูงแม้ว่าจะเคยผ่าตัดไปแล้ว
2. ช็อกโกแลตซีสต์ห้ามกินอะไรบ้าง
- ของทอด
- น้ำตาล ของหวาน
- เครื่องดื่มชากาแฟ
- เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- ผลิตภัณฑ์จากนมวัว เนื้อสัตว์แปรรูป ไขมันจากสัตว์
ข้อแนะนำ : เลือกทานผักใบเขียว ธัญพืชไม่ขัดสีหรือปลาทะเล ซึ่งช่วยลดการอักเสบในร่างกายได้
3. ช็อกโกแลตซีสต์หายเองได้ไหม
ช็อกโกแลตซีสต์ไม่สามารถหายเองได้ และหากละเลยขนาดของซีสต์อาจขยายใหญ่ขึ้น และเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะมีบุตรยาก หรืออาจส่งผลกระทบเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ได้
ข้อแนะนำ : การรักษาต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสูตินรีเวชเท่านั้น
อย่ารออายุเยอะเกินไป เพราะโอกาสตั้งครรภ์จะลดลงทุกปีหลังอายุ 35 หากอายุมากขึ้นโอกาสตั้งครรภ์จะลดลง หมั่นรักษาสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ วางแผนมีลูกอย่างมั่นใจตั้งแต่วันนี้ และเตรียมรับมือทุกปัญหาสุขภาพ ด้วยวิริยะประกันสุขภาพ คลิกค้นหาประกันสุขภาพที่ใช่สำหรับคุณและคนที่คุณรัก
บทความที่คุณอาจจะสนใจ อ่านต่อ:
ปวดท้องบ่อย ๆ ระวังเป็น "ช็อกโกแลตซีสต์" ไม่รู้ตัว
ที่มา: ศูนย์รักษาผู้มีบุตรยากจินตบุตร
สินค้าแนะนำ
ประกันสุขภาพ
วิริยะ โกลด์ บาย บีดีเอ็มเอส
ประกันสุขภาพ
วี เพรสทีจ แคร์
ประกันสุขภาพ
วี ดีลักซ์ แคร์ บาย เกษมราษฎร์